เป็นตอนที่ 8 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Atolla spp.
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Scyphozoa >> Order Coronatae
สถานที่พบ : น้ำลึกทั่วโลก

นี่คืออีกหนึ่งสกุลแมงกะพรุนน้ำลึกที่มีความพิเศษ ซึ่งนอกจากรูปร่างหน้าตาจะเหมือน UFO แล้ว มันยังสามารถกะพริบจุดแสงเรืองสีฟ้าไล่วนเป็นวงรอบๆ ขอบของร่ม ในยามที่มันรู้สึกว่ามีศัตรูเข้ามาใกล้ ได้อีกด้วย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัญญาณจุดแสงสีฟ้านี้ แทนที่จะเอาไว้ไล่ศัตรูไปไกลๆ กลับน่าจะวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อเรียกหาสัตว์ผู้ล่าตัวที่ใหญ่กว่า เพื่อมาข่มขู่หรือจัดการกับศัตรูตัวแรกแทน

เทคนิคการใช้แสงเรืองสีฟ้ารอบขอบของร่มหนวดนี้ เป็นแรงบันดาลใจ Dr. Edith Eidder พัฒนาระบบติดตามที่เรียกว่า “Eye in the Sea” ขึ้นมา โดยนอกจากจะใช้ไฟสีแดงอ่อนซึ่งไม่รบกวนทะเลลึกแล้ว เธอยังติดไฟวงแหวนสีฟ้าสดเพื่อดึงดูดสัตว์ผู้ล่าต่างๆ ให้เข้ามาหาและทีมงานของเธอจะได้ศึกษาอย่างสะดวก

นอกจากนี้ หนวดของมันยังมีความน่าสนใจอีกนิดด้วย นักวิทยาศาสตร์ที่สังเกตพวกมันจากเรือดำน้ำลึกพบว่า หนวดแต่ละเส้นของมันจะยาวไม่เท่ากัน หนวดที่ยาวทำหน้าที่จับเหยื่อประเภทไซโฟโนฟอร์ แมงกะพรุน หรือหวีวุ้น ส่วนหนวดที่สั้นกว่ามีไว้จับแพลงก์ตอนสัตว์

Atolla wyvillei Under White Light

Atolla wyvillei Under White Light

อ้างอิง: หนังสือ Jellyfish: A Natural History (เขียนโดย Lisa-ann Gershwin)
ภาพ: NOAA Ocean Explorer

เป็นตอนที่ 7 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Periphylla periphylla
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Scyphozoa >> Order Coronatae
สถานที่พบ : น้ำลึกทั่วโลก แต่ปัจจุบันนี้เริ่มรุกรานมาที่บริเวณน้ำตื้นแถบนอร์เวย์ในช่วงกลางคืนด้วย

นี่คือแมงกะพรุนน้ำลึกในทะเลอันดำมืด ผู้สามารถกะพริบแสงได้ราวกับไฟคริสต์มาส โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การกะพริบแสงของมันมีไว้เพื่อเตือนผู้ล่าให้กลัวและล่าถอย
นอกจากนั้น สีแดงที่ส่วนกระเพาะของมันยังมีเหตุผล นั่นคือการพรางตัว!

ที่มาที่ไปมีอยู่ว่า แพลงก์ตอนหลายชนิดที่เจ้าแมงกะพรุนกลืนลงท้องยังไม่ตาย แถมสามารถเรืองแสงได้ ซึ่งนั่นอาจเป็นการเรียกผู้ล่ามาหามัน ทางเดินอาหารสีแดงจึงเปรียบเสมือนเกราะกำบัง เพราะสีแดงเป็นสีที่มองไม่เห็นในทะเลลึก เพราะช่วงความยาวคลื่นของแสงสีแดงถูกดูดกลืนไปหมด

อ้างอิง: หนังสือ Jellyfish: A Natural History (เขียนโดย Lisa-ann Gershwin)
ภาพ: http://www.arcodiv.org/watercolumn/cnidarian/Scyphomedusae.html

เป็นตอนที่ 6 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Turritopsis dohrnii
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Hydrozoa >> Order Anthoathecata
สถานที่พบ : ชายฝั่งญี่ปุ่น, บางพื้นที่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ชายฝั่งอิตาลี, กรีซ, โครเอเชีย)

แม้ว่าจะมีขนาดเพียงแค่เมล็ดถั่ว หน้าตาไม่ได้โดดเด่น แต่เธอคือผู้มีมนตร์วิเศษแห่งการย้อนวัย ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมดึงหน้า

เมื่อแมงกะพรุนชนิดนี้เริ่มแก่ ร่างกายเกิดความเสียหาย หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ลำตัวและหนวดของมันจะหดเล็กลงจนดูเหมือนหายไป เนื้อเยื่อค่อยๆ จมสู่พื้นทะเล แต่แทนที่เซลล์เหล่านั้นจะเน่าสลายเหมือนสัตว์ที่ตาย เซลล์เหล่านั้นกลับจัดเรียงตัวใหม่ กลายเป็น Polyp หรือระยะวัยอ่อนอีกครั้ง (นึกภาพเหมือนกบแก่ๆ ที่แปลงร่างกลับเป็นลูกอ๊อด) แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกรอบ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถทำแบบนี้ซ้ำๆ ได้นับสิบๆ ครั้ง และเชื่อว่าสามารถทำได้เรื่อยๆ ไม่จำกัดด้วย!

ส่วนเหตุผลที่ทำให้แมงกะพรุนชนิดนี้ไม่ลอยอยู่เต็มทะเลก็คือถูกกินนั่นเอง!

อย่างไรก็ตาม แมงกะพรุนชนิดนี้หาภาพถ่ายได้ยากมาก ภาพที่ปรากฏในหน้านี้ เป็นญาติสนิทที่ชื่อว่า Turritopsis nutricula ซึ่งยังไม่สามารถทดสอบได้ว่า มีคุณสมบัติการย้อนวัยเหมือน Turritopsis dohrnii หรือไม่ แต่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกันชนิดที่นักวิจัยก็ยังหลงสลับไปมาอยู่ด้วย (เราจึงขอใช้ภาพสายพันธุ์นี้แทนตัวจริงไปก่อนนะ)

ส่วนภาพถ่ายที่ค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ จะเป็นญาติสนิทอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ชื่อว่า Turritopsis rubra ซึ่งไม่มีคุณสมบัติการย้อนวัยแต่อย่างใด (ขอใช้พื้นที่นี้ แก้ไขความเข้าใจผิดของเว็บส่วนใหญ่นะ) ภาพถ่ายที่ว่าเป็นดังภาพนี้

Turritopsis rubra medusa

Turritopsis rubra medusa

อ้างอิง:

  • หนังสือ Jellyfish: A Natural History (เขียนโดย Lisa-ann Gershwin)
  • เว็บไซต์ World Register of Marine Species: Turritopsis, Turritopsis rubra
  • เว็บไซต์ Immortal Jellyfish
เป็นตอนที่ 5 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyanea spp.
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Scyphozoa >> Order Semaeostomeae
สถานที่พบ : บริเวณน้ำเย็น เช่น ทะเลอาร์กติก แปซิฟิกเหนือ แอตแลนติกเหนือ

นี่คือสกุลของแมงกะพรุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าของหนวดยาวรุงรังนับร้อยเส้น ซึ่งอาจยาวได้ถึง 30 เมตร พอๆ กับวาฬสีน้ำเงินเลยทีเดียว

บางชนิดในแอตแลนติกเหนือมีร่มกว้างถึง 3 เมตร แต่แม้ว่ามันจะมีขนาดมหึมาน่าเกรงขาม แต่เจ้าวุ้นสิงโตกลับไม่เป็นอันตรายต่อคนอย่างที่คิด ด้วยพิษที่ไม่แรงมาก (แต่ก็แสบๆ คันๆ เหมือนกัน) ยกเว้นบางชนิดที่พบแถวเกาะอังกฤษ สายพันธุ์ C. capillata ที่สามารถทำให้คนถึงแก่ความตายได้ และเจ้านี่ก็เคยรับบทเป็นฆาตรกรในเรื่องเชอร์ล็อกโฮล์มมาแล้ว

Lion's Mane Jellyfish

Lion’s Mane Jellyfish

อ้างอิง: หนังสือ Jellyfish: A Natural History (เขียนโดย Lisa-ann Gershwin)

เป็นตอนที่ 4 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Colobonema sericeum
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Hydrozoa >> Order Trachymedusa
สถานที่พบ : ทั่วโลก

ในโลกใต้ทะเลลึกที่เต็มไปด้วยนักล่าหิวกระหาย ทุกชีวิตต่างวิวัฒนาการกลยุทธ์เพื่อเอาชีวิตรอด และดูเหมือนว่าเจ้าแมงกะพรุนชนิดนี้จะได้แรงบันดาลใจมาจากจิ้งจก !

เมื่อใดก็ตามที่มันถูกโจมตีจนเข้าขั้นจวนตัว มันจะสลัดหนวดทิ้ง แล้วหนวดนั้นก็จะดิ้นกระดุกกระดิก แถมเรืองแสงสีฟ้า ดึงดูดความสนใจของผู้ล่า ไม่ต่างอะไรจากจิ้งจกทิ้งหางรักษาชีวิต ส่วนตัวมันเองก็อาศัยจังหวะชุลมุนผลุบหนีไป และงอกหนวดขึ้นมาใหม่ ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อ้างอิง : หนังสือ Jellyfish: A Natural History (เขียนโดย Lisa-ann Gershwin)

เป็นตอนที่ 3 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phacellophora camtschatica
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Scyphozoa >> Order Semaeostomeae
สถานที่พบ : มหาสมุทรแอตแลนติก, มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกในเขตอบอุ่น, ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

บางครั้งเจ้านี่ก็ถูกเรียกว่า ‘แมงกะพรุนไข่ดาว’ (Fried Egg Jellyfish) แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวนี้ต่างจากไข่ดาวตัวก่อนหน้าก็คือ เจ้าไข่แดงตัวนี้มีหนวดที่ยาวเฟื้อย – ซึ่งอาจยาวได้ถึง 6 เมตร – เอาไว้ดักจับอาหารจำพวกแมงกะพรุนเล็กๆ, หวีวุ้น, Salp ที่ลอยโง่ๆ มาติดหนวดกิน

หากมีโอกาสได้เจอ ขอให้ลองสังเกตบนร่มของมันดีๆ อาจได้เจอลูกปูหรือพวกแอมฟิพอดโดยสารอยู่ สัตว์น้อยๆ พวกนี้ชอบเกาะแมงกะพรุนเพื่อเดินทางไปที่ใหม่ๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรงว่ายน้ำเอง แถมบางทียังขโมยกินเศษอาหารเหลือๆ ที่ติดตามหนวดหรือแขนรอบปากของแมงกะพรุนด้วย…

แมงกะพรุนชนิดนี้มีพิษไม่ร้ายแรง เจอแล้วไม่ต้องกลัวจ้า

ข้อมูล: https://www.inaturalist.org/taxa/52966-Phacellophora-camtschatica

ภาพ: Flickr.com

เป็นตอนที่ 2 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cotylorhiza tuberculata
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Scyphozoa >> Order Rhizostomeae
สถานที่พบ : ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, ทะเล Aegean Sea, ทะเล Adriatic

นี่คือไข่ดาวใต้ทะเล!… หากมีโอกาสได้เจอจงดีใจ เพราะเธอไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และถ้าหากลองมองให้ดีๆ อาจเห็นปลาน้อยๆ โผล่หน้าออกมาจากกิ่งก้านของแขนรอบปาก ปลาพวกนี้อาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อใช้แมงกะพรุนเป็นบังเกอร์กำบังภัยจากผู้ล่ามากมายในทะเล

เจ้าไข่ดาวนี้ ร่มของมันอาจกว้างได้ถึง 40 เซนติเมตร แต่โดยมากมักไม่เกิน 20 เซนติเมตร นางกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารหลัก แถมในเนื้อเยื่อก็มีสาหร่าย Zooxanthellae เป็นแม่ครัวส่วนตัว ช่วยสังเคราะห์แสงส่งอาหารให้เช่นเดียวกับปะการัง ช่วงกรกฎาคมถึงพฤศจิกายนคือช่วงที่มีโอกาสเห็นเจ้าไข่ดาวเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นช่วงที่ polyp แตกหน่อออกมาเป็น Medusa พร้อมๆ กัน

นอกจากนั้น เจ้าไข่ดาวยังถูกศึกษาในฐานะความหวังของการรักษามะเร็งเต้านมบางชนิด ด้วยสารบางอย่างจากมันที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิดแบบเฉพาะเจาะจง โดยไม่ทำลายเซลล์ที่ดี แต่ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

Fried-Egg Jellyfish

Fried-Egg Jellyfish

ข้อมูล : https://www.inaturalist.org/taxa/324852-Cotylorhiza-tuberculata

เป็นตอนที่ 1 ใน 17 ตอนของเรื่อง แมงกะพรุนสุดว้าวแห่งท้องทะเล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassiopea spp.
หมวดหมู่ : Phylum Cnidaria >> Class Scyphozoa >> Order Rhizostomeae
สถานที่พบ : ชายฝั่งน้ำตื้นเขตร้อน

เจ้าแมงกะพรุนในสกุลนี้มีความอินดี้และน่าอิจฉา แม้ว่าพวกมันจะว่ายน้ำได้ แต่เธอไม่ว่ายจ้า… วันๆ เธอเอาแต่นอนเอนหลังติดพื้นทะเล ยืดหดลำตัวผลุบๆ เป็นจังหวะ เพื่อให้กระแสน้ำไหลผ่านเนื้อเยื่อ

ส่วนการหากินนั้น นางก็สุดแสนสบาย ไม่ต้องว่ายน้ำหากินเหมือนใครเขา เพราะในเนื้อเยื่อของนางจะมีสาหร่ายเซลล์เดียวที่ชื่อ Zooxanthellae (เป็นสาหร่ายเซลล์เดียวกลุ่มเดียวกับที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อปะการัง) เป็นแม่ครัวส่วนตัว ทำหน้าที่สังเคราะห์แสงและส่งพลังงานให้มัน โดยกว่า 90% ของพลังงานที่มันใช้ก็มาจากแม่ครัวพวกนี้

ร่างกายของแมงกะพรุนกลับหัวก็ช่างวิวัฒนาการมาให้เหมาะสมกับชีวิตติดพื้นแบบนี้เหลือเกิน ทั้งร่มที่แบนราบ และแขนรอบปากที่แผ่ออกด้านข้างแนวขนานกับพื้นแทนที่จะตั้งฉาก เพื่อเพิ่มพื้นที่รับแสงให้มากขึ้น เรียกได้ว่า เป็นแมงกะพรุนที่เกินมาเพื่อนั่งกินนอนกินโดยแท้

หากอยากเห็นเธอ ต้องตั้งใจมองหาที่พื้นทะเลดีๆ เพราะหากมองผ่านๆ อาจนึกว่าเป็นสาหร่ายได้

Upside-Down Jellyfish at the Aquarium of Genoa

Upside-Down Jellyfish at the Aquarium of Genoa

อ้างอิง : หนังสือ Jellyfish: A Natural History (เขียนโดย Lisa-ann Gershwin)

เป็นตอนที่ 6 ใน 6 ตอนของเรื่อง ร่างกายมหัศจรรย์ของน้องเยลลี่

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1991 กระสวยอวกาศโคลัมเบียพุ่งทะยานขึ้นสู่อวกาศ โดยมีแมงกะพรุนพระจันทร์ (Moon Jelly, Aurelia aurita) ในระยะ Polyp และระยะว่ายน้ำขั้นเริ่มต้น (Ephyra) จำนวน 2,478 ตัว ถูกส่งขึ้นไปด้วย

แมงกะพรุนอวกาศกลุ่มนี้ คือตัวแทนของการทดลองเพื่อที่จะตอบคำถามว่า “สภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วง (microgravity) มีผลอย่างไรต่อพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก่อนที่เราจะส่งมนุษย์ไปอวกาศนานๆ รวมทั้งปัญหาสำคัญที่ว่า เราสามารถมีลูกในอวกาศได้หรือได้ เด็กจะเติบโตอย่างปกติไหม แล้วจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าหากกลับมาบนโลก ?

แม้ว่าแมงกะพรุนจะต่างจากพวกเราอย่างมาก แต่พวกมันมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายเรา นั่นคือระบบตรวจวัดแรงโน้มถ่วง (gravity receptor) แต่เป็นในเวอร์ชันที่เรียบง่ายกว่ามาก มันคือระบบที่ทำให้แมงกะพรุนบอกความแตกต่างระหว่างด้านบนกับด้านล่างได้ โดยมันจะมีผลึกแคลเซียมซัลเฟต (Statoliths) ในกระเปาะรอบๆ ขอบร่ม (bell margin) ซึ่งพอเวลามันเอียงตัว ผลึกนี้ก็จะกลิ้ง ขนที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์ก็จะส่งสัญญาณไปยังเส้นประสาท ซึ่งคล้ายกับระบบที่อยู่ในหูชั้นในของคนเรา

กลับมาที่การทดลองแมงกะพรุนอวกาศกันต่อ การทดลองนี้เริ่มขึ้นโดยการฉีดสารเคมีกระตุ้นให้ Polyp พัฒนาเป็น Ephyra ซึ่งบางกลุ่มจะเป็น Ephyra ตั้งแต่ก่อนยานออก ส่วนอีกกลุ่มเป็นเมื่ออยู่บนอวกาศแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะทำการบันทึกภาพและข้อมูลต่างๆ เช่น ลักษณะภายนอก ท่าทางการว่ายน้ำ จำนวนผลึกแคลเซียมซัลเฟต เพื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่อยู่บนโลก

นอกจากนั้น พวกเขายังปล่อยให้แมงกะพรุนที่เป็นตัวเต็มวัยในอวกาศได้ขยายพันธุ์ด้วย ซึ่งทำให้ในช่วงนั้น เรามีแมงกะพรุนโคจรรอบโลกถึง 60,000 ตัว!

สิ่งที่นักวิจัยพบจากการทดลองนี้คือ พวกมันเจริญเติบโตได้อย่างปกติและว่ายน้ำได้ เพียงแต่เมื่อผ่านไปราว 9 วัน พวกที่เติบโตมาแล้วจากโลก จะสูญเสียผลึกแคลเซียมซัลเฟตไปเป็นจำนวนมาก และมีท่าว่ายแปลกๆ โดยมักว่ายวนเป็นวงกลม

และเมื่อแมงกะพรุนกลุ่มนี้กลับถึงโลก พวกบางส่วนไม่สามารถว่ายน้ำได้เหมือนเพื่อนแมงกะพรุนที่อยู่บนโลกทั่วไป เนื่องจากระบบตรวจวัดแรงโน้มถ่วงเกิดความผิดเพี้ยน… แต่ไม่นานพวกมันส่วนใหญ่ก็สามารถกลับคืนสู่การว่ายปกติได้

อ้างอิง

  • https://er.jsc.nasa.gov/seh/From_Undersea_To_Outer_Space.pdf
  • https://www.nytimes.com/2011/06/07/science/07jellyfish.html
  • https://www.youtube.com/watch?v=FvjVKAAvIn8
เป็นตอนที่ 5 ใน 6 ตอนของเรื่อง ร่างกายมหัศจรรย์ของน้องเยลลี่

แม้แมงกะพรุนจะได้ชื่อว่าเป็นแพลงก์ตอน – คือใช้ชีวิตล่องลอยตามกระแสน้ำ – แต่พวกมันก็มีความสามารถในการควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ได้เช่นกัน ทั้งซ้ายขวาขึ้นลง แถมบางชนิดยังสามารถว่ายทวนกระแสอ่อนๆ ได้ด้วย โดยเฉพาะแมงกะพรุนกล่องที่มีบันทึกไว้ว่า สามารถว่ายได้ด้วยความเร็วถึง 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนแมงกะพรุนพระจันทร์ที่ประจำถิ่นในอ่าวแห่งหนึ่ง ก็มีงานวิจัยพบว่า มันสามารถขี่คลื่นเพื่อกลับเข้าอ่าวในช่วงเวลาที่กระแสน้ำด้านล่างพัดออกจากอ่าวได้

แม้จะเคลื่อนที่ไม่เร็วนัก แต่การเคลื่อนที่ของแมงกะพรุนก็ถือเป็นหนึ่งในระบบขับเคลื่อนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในอาณาจักรสัตว์ เนื่องจากใช้พลังงานน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงขับเคลื่อนที่ได้

พวกมันใช้วิธีขยายและหดกล้ามเนื้อลำตัว พองหนอ-น้ำเข้า ยุบหนอ-น้ำออก เกิดแรงผลักดันตัวมันไปข้างหน้า